ใบกระท่อม สรรพคุณทางยา ประโยชน์และโทษ
ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤษศาสตร์
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
กระท่อม ในประเทศไทยมีการน ามาใช้เป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และปวดมวนท้อง และบางพื้นที่
กล่าวกันต่อมาว่าสามารถบรรเทาโรคเบาหวานได้ ชาวนานิยมบริโภคโดยการเคี้ยวใบสด หรือเอาใบ
มาย่างให้เกรียมและต าผสมกับน้ าพริกรับประทานเป็นอาหาร เพื่อให้มีแรงท างานและสามารถทน
ตากแดดอยู่กลางแจ้งได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ชาวมลายูใช้ใบกระท่อมต าพอกแผล และใช้
ทั้งใบเผาให้ร้อนวางบนท้องรักษาโรคม้ามโต ตลอดจนใช้กระท่อมเพื่อทดแทนฝิ่นในท้องที่ซึ่งหาฝิ่น
ไม่ได้ และบ่อยครั้งมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อควบคุมการติดฝิ่น โดยเฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์ใน
ปัจจุบัน
กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มิตราไจนา สเปซิโอซา คอร์ท (Mitragyna Speciosa
Korth) จัดอยู่ในตระกูล รูเบียซีอี (Rubiaceae) มีถิ่นก าเนิดในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย มาลายู จนถึงเกาะนิวกินีด้วย ที่พบในประเทศไทยมีอยู่ ๓ พันธุ์ คือ
แตงกวา (ก้านเขียว) ยักษาใหญ่ (รูปใบใหญ่) และก้านแดง มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละที่ เช่น
ในประเทศไทย ภาคเหนือเรียกอีด่าง อีแดง กระอ่วม ภาคใต้ เรียกท่อม หรือท่ม ในมลายูเรียกคูทุม
(Kutum) หรือ คีทุมเบีย (Ketum Bia) หรือ เบียก (Biak) ลาวเรียก ไนทุม (Neithum) อินโดจีน
เรียก โคดาม (Kodam)
กระท่อมจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ชนิดเดียวกับกัญชา ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้
โทษ ปี 2522 มาตรา 7
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mitragyna speciosa Korth. วงศ์ Rubiaceae
ชื่ออื่นๆ ท่อม อีถ่าง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปานกลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง สูง10 -15 เมตร อยู่ในตระกูล
Mitragyna speciosa ใบคล้ายใบกระดังงา มีชนิดก้านใบแดงและใบเขียว ดอกกลมโตขนาดเท่า
ผลพุทรา ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรงข้าม แผ่นใบขนาดกว้างประมาณ 5-10 ซม.
ยาวประมาณ 8-14 ซม. ดอกมีสีขาวอมเหลืองออกเป็นช่อตุ้มกลมขนาด 3-5 ซม.
แหล่งที่พบ ในบางจังหวัดของภาคกลาง เช่น ปทุมธานี แต่จะพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้
เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูลพัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตอนบนของ
ประเทศมาเลเซีย
สารส าคัญที่พบในใบกระท่อม
ใบกระท่อมประกอบด้วยแอลคะลอยด์ทั้งหมดประมาณร้อยละ ๐.๕ ในจ านวนนี้เป็นมิตราไจนีน
(Mitragynine) ร้อยละ ๐.๒๕ ที่เหลือเป็น สเปโอไจนีน (Speciogynine) ไพแนนทีน (Paynanthine)
สเปซิโอซีเลียทีน (Speciociliatine) ตามล าดับ ซึ่งชนิดและปริมาณแอลคะลอยด์ที่พบแตกต่างกัน
ตามสถานที่ และเวลาที่เก็บเกี่ยว ซึ่งแบ่งตามสูตรโครงสร้างได้สารประกอบ ๔ ประเภท คือ
- อินโดลแอลคะลอยด์ (Indole Alkaloids)
- ออกอินโดลแอลคะลอยด์ (Oxindole Alkaloids)
- ฟลาวานอยด์ (Elavanoids)
- กลุ่มอื่น ๆ เช่น ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol), แทนนิน (Tannins)
อาการของผู้ติดใบกระท่อม
มีลักษณะคล้ายกับแอมเฟตามีน คือ เบื่ออาหาร ท างานได้มากเกินปกติ ตื่นเต้น เพราะประสาทถูก
กระตุ้น แต่ยังไม่เคยมีรายงานผู้เสพติด ใบกระท่อมก่อปัญหาอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ เหมือนที่
ได้รับรายงานกรณีผู้เสพติดแอมเฟตามีน
วิธีเสพ
เคี้ยวใบสดหรือบดใบแห้งให้เป็นผง ละลายน้ าดื่ม บางรายเติมเกลือด้วยเล็กน้อยเพื่อป้องกันท้องผูก
ส่วนมากจะเคี้ยวเพียง 2-3 ใบ และดื่มน้ าอุ่น หรือกาแฟร้อนตาม ใช้วันละ 3-10 ครั้งต่อวันตามอาการ
เหนื่อย เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ปริมาณการใช้จะเพิ่มขึ้น (ประมาณร้อยละ 37 ใช้วันละ 21-30 ใบ)
ผลจากการเสพ พบว่าหลังเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ 5-10 นาที จะมีอาการเป็นสุข
กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิว (ไม่อยากอาหาร) กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะท างาน ท าให้สามารถท างาน
ได้นาน และทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผู้เสพจะมี
ผิวหนังแดงเพราะเลือดไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น อาการข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย เบื่อ
อาหาร ท้องผูก อุจจาระแข็งเป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ ถ้าเสพใบกระท่อมในปริมาณมากๆ จะท าให้
มึนงง และคลื่นไส้อาเจียน (เมากระท่อม) แต่ในบางรายเสพเพียง 3 ใบ ก็ท าให้เมาได้ ในรายที่เสพใบ
กระท่อมมากๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง
ท าให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ าและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจาก
ตัวใบก่อน อาจจะท าให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในล าไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของ
กระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในล าไส้ ท าให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืด
ขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ท าให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในล าไส้ บางรายจะมีอาการ
โรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาท าร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
อาการขาดยา
ที่พบ คือ จะไม่มีแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก แขนขากระตุก รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สามารถ
ท างานได้ อารมณ์ซึมเศร้า จมูกแฉะ น้ าตาไหล บางรายจะมีท่าทางก้าวร้าว แต่เป็นมิตร (Hostility)
นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ซึ่งตรงกับข้ามกับอาการขาดยาแอมเฟตามีนที่จะท าให้รู้สึกง่วงนอนมาก
หิวจัดและมือสั่น
สรุปได้ว่า พืชกระท่อมมีสารแอลคะลอยด์ Mitragynine อยู่ในใบ มีฤทธิ์ระงับอาการปวด
เช่นเดียวกับมอร์ฟีน โดยมีความแรงต่ ากว่ามอร์ฟีนประมาณ ๑๐ เท่า และมีข้อดีกว่ามอร์ฟีนอยู่หลาย
ประการ ดังนี้
กระท่อมไม่กดระบบทางเดินหายใจ
ไม่ท าให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
พัฒนาการในการติดยาเกิดช้ากว่ามอร์ฟีนหลายปี
ไม่มีปัญหาเรื่องอาการอยากได้ยา (Craving) จึงไม่มีกรณีผู้ติดกระท่อม ก่อเหตุร้ายหรือพัวพันกับ
อาชญากรรมใดเลย
อาการขาดยาไม่ทรมานเท่ามอร์ฟีน และสามารถบ าบัดได้ง่ายกว่ายากล่อมประสาท ระยะ ๒ – ๓
สัปดาห์ ขณะที่ผู้ติดมอร์ฟีนอาจต้องพึ่ง Mitragynine ซึ่งเป็นสารเสพติดเช่นเดียวกัน เป็น
เวลานาน ๓ เดือนขึ้นไป
การควบคุมทางกฎหมาย ไม่มีสนธิสัญญาที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศห้ามการปลูกเหมือนฝิ่น
ใช้บ าบัดอาการติดฝิ่นหรือมอร์ฟีนได้
สรรพคุณทางยา
สมัยโบราณ กระท่อมเป็นพืชที่ใช้เข้าเป็นตัวยาในต ารับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย ปวดเบ่ง ปวดเมื่อย
ตามร่างกาย ท้องเสีย ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ท าให้นอนหลับ และระงับประสาท ในมุมมองของแพทย์แผน
ไทยส่วนใหญ่ จะน าพืชใบกระท่อมมาใช้เป็นยารักษาแก้ท้องร่วง ในสูตรยาของหมอพื้นบ้านหรือหมอ
แผนโบราณ เช่น ต ารับยาประสะกระท่อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจ าเป็นต้องใช้ยาขนาดนี้
แล้ว เพราะมียาแผนปัจจุบันและแผนโบราณให้ผลเท่าเทียมหรือดีกว่าอีกทั้ง แม้ใบกระท่อมให้ผลการ
ออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ท าให้เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ หากใช้ติดต่อกันนานๆ
การน าใปใช้ในทางที่ผิด ปัจจุบันใบกระท่อมมีปัญหาการแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียน อาจ
เนื่องมาจากมีราคาถูกและท าให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มได้เช่นเดียวกับสารเสพติดอื่น โดยมักนิยมน าน้ า
กระท่อมต้ม ผสมกับโค้ก ยากันยุง และยาแก้ไอ (4×100)
การควบคุมตามกฎหมาย
ปี พ.ศ. 2486 ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศควบคุมการใช้พืชกระท่อม โดยตรา
พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486 ระบุห้ามปลูกและครอบครองรวมทั้งห้ามจ าหน่ายและเสพ
ใบกระท่อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 กระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยา
เสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 “ผู้ใดผลิต จ าหน่าย น าเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5
ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่ 2 – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 150,000 บาท ครอบครองโดย
มิได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ”
การควบคุมในต่างประเทศ สหประชาชาติ(UN) จะยังมิได้มีการประกาศควบคุมพืชกระท่อมในบัญชี
รายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ แต่จาก World drug report
2013 ของส านักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้มีการ
ขอความร่วมมือให้ประเทศสมาชิกเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของสารออกฤทธิ์ตัวใหม่ๆ ซึ่งมี
พืชกระท่อมรวมอยู่ด้วย ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าประเทศในยุโรป เช่น เดนมาร์ก ลัตเวีย ลิทัวเนีย
โ ป แ ล น ด์ โ ร ม า เ นี ย ส วี เ ด น มี ก า ร ค ว บ คุ ม พื ช ก ร ะ ท่ อ ม ส า ร mitragynine แ ล ะ
7-hydroxymitragynine ส าหรับออสเตรเลีย พม่า รวมถึงไทย มีการควบคุมพืชกระท่อมภายใต้
กฎหมายที่เกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนนิวซีแลนด์ ควบคุมพืชกระท่อม และสาร mitragynine ภายใต้
กฎหมาย Medicines Amendment Regulations จาก World drug report 2013 ของส านักงาน
ควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ให้ข้อมูลการแพร่ระบาดของ
พืชกระท่อมว่า พืชกระท่อมมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี
การรายงานการใช้ในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในปี ค.ศ. 2011 ยุโรปเริ่มการมีขายพืชกระท่อมทาง
อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย
คนไทยจะนิยมบริโภคใบกระท่อมกันเมื่อใดไม่อาจทราบได้แน่นอน เมื่อย้อนไปตรวจดูประวัติศาสตร์
กฎหมายถึง พ.ศ. ๑๙๐๓ ในสมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาใน
กฎหมายตราสามดวง ว่าด้วยลักษณะโจร ก็ไม่ได้บัญญัติให้กระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คงมีแต่เฉพาะ
ฝิ่นเท่านั้นที่ห้ามการบริโภค ครอบครองหรือจ าหน่าย การที่แพทย์พื้นบ้านได้ใช้กระท่อมเป็นตัวยา
สมุนไพรไทย แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้ใช้กระท่อมกันมาเป็นเวลานานและใช้กันอย่างแพร่หลาย
นั่นเอง
จากการศึกษาและสอบถามจากประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศไทย คือ ลาว เขมร มาเลเซีย
อินโดนีเซีย พบว่า พืชกระท่อมที่อยู่ในรูปของ ต้น ใบ ราก ไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมายของประเทศเหล่านี้
และประชาชนบางกลุ่มที่นิยมบริโภคในรูปของใบสดเพื่อกระตุ้นในการท างาน อีกทั้งในข้อตกลงของ
สหประชาชาติก็ไม่ได้ก าหนดให้กระท่อมเป็นสิ่งเสพติดหรือผิดกฎหมาย คงมีประเทศไทยประเทศ
เดียวเท่านั้นที่ก าหนดให้กระท่อมเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ก าหนดให้ต้นกระท่อมเป็นพืชหวงห้าม จะตัดฟัน
ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ท าให้เกิดปัญหาว่าหากประชาชนมีต้นกระท่อมอยู่ในสวนหรือที่ดิน
ก็จะไปตัดโดยพลการไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันการครอบครองกระท่อมก็ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ยาเสพ
ติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
กระท่อมเพิ่งปรากฏเป็นยาเสพติดต้องห้ามตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของการออก พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. ๒๔๘๖
เนื่องจากฝิ่นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่นสุก ฝิ่นดิบ มีราคาแพง ท าให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าแท้ที่จริงการตรา พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. ๒๔๘๖ และใช้สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้มี
เหตุผลและหลักการทางการค้าทางภาษีของรัฐ หาใช่เพราะเหตุที่พืชกระท่อมเป็นพืชเสพติดเองไม่ ซึ่ง
หลักเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกก าหนดเป็นแนวทางในการพิจารณาเพื่อจัดให้เป็นยาเสพติดที่จะต้อง
ควบคุมนั้นมีดังนี้ - เมื่อไม่ได้เสพแล้วก่อให้เกิดอาการขาดยา
- มีประโยชน์ทางการแพทย์น้อยหรือไม่มีเลย
- ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุข
- ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม
ที่มา กระท่อม ยาระงับปวดหรือยาเสพติดเรียบเรียงโดย ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ ภาควิชาเภสัชเวท
และเภสัชพฤษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์